
“คลี่ประเด็นและวิเคราะห์ พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2568:
สิทธิลาครอบครัวและการคุ้มครองแรงงาน
📅 วันจันทร์ที่ 8 ธันวาคม 2568
📍 ณ ห้องประชุมสุรเกียรติ์ เสถียรไทย ชั้น 4 อาคารเทพทวาราวดี คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
การขยายสิทธิลาคลอดและดูแลบุตรให้ครอบคลุมมากกว่าลูกจ้างในระบบการจ้างงาน ถือเป็นนโยบายสำคัญในการส่งเสริมการพัฒนาทุนมนุษย์ (Human Capital Development) และสร้างสุขภาวะเด็กในระยะยาว (Long-term Child Well-being) ข้อเสนอเชิงนโยบายที่สามารถเชื่อมโยงสิทธิเหล่านี้กับระบบสวัสดิการสังคมอื่น ๆ มีดังนี้:
1. การขยายความคุ้มครองสิทธิประโยชน์กรณีคลอดบุตรอย่างถ้วนหน้า
ขยายสิทธิลาคลอดและเงินชดเชยค่าจ้าง:
ครอบคลุมกลุ่มแรงงานนอกระบบ: จัดตั้ง “กองทุนสวัสดิการการคลอดและเลี้ยงดูบุตรแห่งชาติ” เพื่อจ่ายเงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อคลอดบุตร (เทียบเท่าค่าจ้างชดเชย) ให้แก่มารดาและบิดาทุกคน รวมถึงผู้ประกอบอาชีพอิสระ (แรงงานนอกระบบ) และผู้ประกันตนมาตราอื่น ๆ ที่ไม่ได้อยู่ภายใต้กฎหมายคุ้มครองแรงงาน โดยอาจกำหนดหลักเกณฑ์การจ่ายเงินจากฐานรายได้ หรืออัตราคงที่ตามเกณฑ์ความจำเป็นพื้นฐาน
โดยให้รัฐเป็นผู้รับผิดชอบค่าจ้างชดเชยบางส่วน เพื่อลดภาระของนายจ้าง และส่งเสริมให้บิดามีสิทธิลาช่วยดูแลบุตรได้มากขึ้น โดยได้รับค่าจ้างชดเชยด้วย
เชื่อมโยงกับ “เงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด” (Child Support Grant):
ปรับปรุงให้เป็นสวัสดิการถ้วนหน้า: พัฒนาเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดให้เป็น เงินอุดหนุนเพื่อการตั้งครรภ์และเลี้ยงดูบุตรถ้วนหน้า ตั้งแต่การตั้งครรภ์จนถึงบุตรอายุ 6 ปี (หรือมากกว่า) โดยไม่มีการทดสอบความจน (Means Test) เพื่อให้ครอบคลุมเด็กทุกคน ลดปัญหาเด็กตกหล่น และบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูบุตร
2. การสร้างและสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานการเลี้ยงดูบุตร (Childcare Infrastructure)
พัฒนาศูนย์เด็กเล็กและสถานรับเลี้ยงเด็กคุณภาพ:
ขยายจำนวนและคุณภาพ: สนับสนุนงบประมาณในการจัดตั้งและพัฒนา ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กและสถานรับเลี้ยงเด็กที่มีคุณภาพ ทั้งในชุมชนและที่ทำงาน โดยให้มีการประเมินคุณภาพที่เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ
อุดหนุนค่าบริการ: จัดให้มี กลไกการอุดหนุนค่าบริการ หรือ “คูปองสวัสดิการ” สำหรับครอบครัวทุกระดับ โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย เพื่อให้เข้าถึงบริการที่มีคุณภาพในราคาที่เหมาะสม
สนับสนุนการให้นมแม่ในสถานที่ทำงานและสาธารณะ:
บังคับใช้กฎหมายและให้สิทธิประโยชน์: กำหนดให้สถานที่ทำงานและสถานที่สาธารณะต้องจัดให้มี ห้องให้นมบุตร/มุมปั๊มนม และให้สิทธิพนักงานหญิงที่กลับมาทำงานสามารถใช้เวลาปั๊มหรือให้นมบุตรได้ โดยไม่ถูกหักค่าจ้าง (ปัจจุบัน กฎหมายคุ้มครองแรงงานยังไม่มีบทบัญญัตินี้อย่างชัดเจน)
สรุปคือ
ข้อเสนอเชิงนโยบายเหล่านี้จะช่วยยกระดับ คุณภาพชีวิตของแม่และเด็ก ลดความเหลื่อมล้ำของสิทธิสวัสดิการระหว่างแรงงานในระบบและนอกระบบ และเป็นกลไกสำคัญในการลงทุนใน การพัฒนาเด็กปฐมวัย ซึ่งเป็นรากฐานของการพัฒนาทุนมนุษย์และเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว



