๓๗ ปี มพด. สังคมไทยไม่ทอดทิ้งเด็ก

จุดเริ่มต้นการทำงานเพื่อเด็ก

มูลนิธิเพื่อการพัฒนาเด็ก (มพด.) ก่อตั้งเมื่อ ๓๑ มีนาคม ๒๕๒๕ จากการรวมตัวกันของกลุ่มนักวิชาการ คนทำงานด้านเด็ก ที่มุ่งเห็นความสำคัญของการช่วยเหลือเด็กที่ด้อยโอกาส คือ ๑)โครงการแด่น้องผู้หิวโหย  ๒) กลุ่มส่งเสริมสื่อมวลชนเพื่อเด็กหรือโครงการส่งเสริมสื่อมวลชนเพื่อเด็ก ปัจจุบันขยายเป็นแผนงานสื่อสร้างสุขภาวะเยาวชน (สสย.) และ๓) ศูนย์ช่วยเหลือแรงงานเด็กหรือโครงการแรงงานเด็ก   เพื่อร่วมกันทำงานพัฒนาเด็กตามเป้าหมายเพื่อประโยชน์สุขของเด็ก โดยเฉพาะกลุ่มเด็กด้อยโอกาสในสังคมและเด็กที่ตกอยู่ในภาวะวิกฤตในสถานการณ์ต่างๆ   ในช่วง ๒๐ กว่าปีที่ผ่านมาเรามุ่งเน้นการช่วยเหลือเด็ก ๔ กลุ่มเป้าหมาย  คือ กลุ่มเด็กในชนบท (ผ่านโครงการแด่น้องผู้หิวโหย) เด็กที่ได้รับผลกระทบจากสื่อ (ผ่านงานโครงการส่งเสริมสื่อมวลชนเพื่อเด็ก)  กลุ่มเด็กที่ต้องมาขายแรงงานหรือแรงงานเด็ก (ผ่านโครงการแรงงานเด็ก) และกลุ่มเด็กในชุมชนเมือง (ผ่านโครงการครอบครัวชุมชนพัฒนา)

บนเส้นทางการทำงานที่ผ่านมา

จากประสบการณ์การทำงานด้านพัฒนาเด็กตลอด ๒๙ ปีที่ผ่านมา มพด. ได้เรียนรู้ ริเริ่มและพัฒนาการดำเนินงานโครงการต่าง ๆ ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อการช่วยเหลือ ปกป้องและคุ้มครองกลุ่มเด็กด้อยโอกาสเน้นการทำงานเชิงลึก ใช้กระบวนการพัฒนาศักยภาพกลุ่มเป้าหมาย เด็ก เยาวชน ครอบครัวและชุมชน ประสานงานกับนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญในสาขาอาชีพต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเด็ก การผลักดันด้านกฎหมายและนโยบาย เป็นตัวแทนในคณะกรรมการและอนุกรรมการการพัฒนาเด็ก ในคณะต่าง ๆ มีการศึกษาวิจัยสภาพปัญหา เชื่อมโยงองค์ความรู้จากสถาบันการศึกษามาใช้ในการทำงาน อันก่อให้เกิดบทเรียนจากการทำงานที่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าวข้างต้น

สถานการณ์ปัญหาของเด็กในชนบท

มองย้อนหลังไปยังปัญหาของเด็กในชนบทเมื่อกว่า ๓๐ กว่า ปีที่ผ่านมา จวบจนปัจจุบัน ยังคงเป็นปัญหาของความขาดแคลน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของอาหาร สุขภาพอนามัย การศึกษา ตลอดจนสภาพเศรษฐกิจและความพร้อมในการประกอบอาชีพเพื่อให้ได้มาซึ่งปัจจัยสี่ ประกอบกับความเจริญทางวัตถุที่นำมาซึ่งการบริโภคที่ไม่ถูกต้อง การใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างสิ้นเปลืองและไม่เป็นธรรม รวมทั้งผลกระทบจากสถานการณ์ทางการเมืองและความรุนแรงที่เป็นสถานการณ์ใหม่ในสังคมไทย ทำให้มีเด็กถูกทอดทิ้งมากขึ้น ทั้งจากกรณีพ่อแม่อพยพแรงงาน ครอบครัวแตกแยกหย่าร้าง เด็กกำพร้าที่พ่อแม่เสียชีวิตด้วยโรคเอดส์ จากเหตุการณ์ภัยพิบัติ และความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีปัญหาตามมา คือ สุขภาพร่างกายและจิตใจ ยาเสพติด พฤติกรรมเบี่ยงเบนก้าวร้าวรุนแรง การเลียนแบบสื่อ และการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร  ซึ่งจะเห็นได้ว่า  ปัญหาของเด็กมีความหนักหน่วงรุนแรงและซับซ้อนขึ้น

โครงการแด่น้องผู้หิวโหย ได้ให้ความช่วยเหลือดูแลเด็กชนบทที่ป่วยเป็นโรคขาดสารอาหาร  โดยสนับสนุนให้บุคคลในพื้นที่จัดทำโครงการอาหารกลางวัน/อาหารเสริม และโครงการเกษตรเพื่อนำผลผลิตมาทำอาหารกลางวัน โครงการแด่น้องผู้หิวโหยเป็นที่รู้จักแพร่หลายในวงกว้างจากภาพยนตร์โฆษณา “แด่น้องผู้หิวโหย” (เด็กกินดิน) เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๘ และได้ขยายงานโครงการเกษตรในโรงเรียนไปสู่ชุมชนในลักษณะแหล่งฝึกอบรมทักษะการเกษตรให้แก่เด็กและชาวบ้าน เพื่อสร้างแหล่งอาหารในชุมชน ควบคู่ไปกับการจัดอบรมส่งเสริมทักษะและขยายรูปแบบการมีส่วนร่วมของชุมชนและแนวทางการพึ่งตนเองส่งเสริมกระบวนการสร้างกลไกชุมชนปกป้องเด็กเพื่อเป็นการดูแลส่งเสริมคุณภาพชีวิตของเด็กโดยคนในชุมชน

งานความมั่นคงทางอาหาร

ปี พ.ศ. ๒๕๒๒ มีเด็กขาดสารอาหารจำนวนมากถึงปีละ ๕๕๐,๐๐๐ คน โครงการแด่น้องผู้หิวโหยถึงถือกำเนิดขึ้นจากการรวมตัวของกลุ่มคนที่อยากช่วยเหลือเด็ก โดยรับบริจาคเงินส่งให้โรงเรียนเพื่อทำอาหารกลางวันเลี้ยงนักเรียน ต่อมาโครงการฯ จึงสนับสนุนให้คนในชุมชนเป็นผู้ดำเนินโครงการเอง โดยแก้ไขปัญหาเด็กขาดอาหารเฉพาะหน้าเร่งด่วนด้วยโครงการอาหารกลางวัน/อาหารเสริม โครงการเกษตรในโรงเรียน ในชุมชนมีการสงเคราะห์เฉพาะราย เด็กขาดสารอาหารและการเกษตรส่งเสริมการปลูกผักสวนครัวและเลี้ยงสัตว์ในโรงเรียนและในหมู่บ้าน  มีการจัดกลุ่มหมุนเวียนกันดูแลจัดทำ จัดอบรมเทคนิคการเกษตรที่เหมาะสมสำหรับพื้นที่  โดยเน้นเพื่อนำผลผลิตมาทำอาหารกลางวันและขายผลผลิตส่วนเกินเพื่อสะสมในกองทุนอาหารกลางวัน

ในปี พ.ศ. ๒๕๒๙ โครงการฯ ได้ขยายการบริการอาหารกลางวัน/อาหารเสริมและการเกษตรในโรงเรียนในภาคอีสาน ภาคเหนือและภาคกลาง มีการประสานความร่วมมือกับ “ข่ายงานในชุมชน” คือ สำนักงานประถมศึกษาอำเภอและองค์กรพัฒนาเอกชน (NGOs) ในพื้นที่ ช่วยติดตามดูแลการดำเนินโครงการของโรงเรียนและหมู่บ้านอีกแรงหนึ่ง จากการเข้าไปติดตามเองของเจ้าหน้าที่โครงการแด่น้องฯ พร้อมกับดำเนินการจัดอบรมเสริมทักษะความรู้และดูงานด้านการเกษตรอย่างต่อเนื่องและการสนับสนุนกองทุนการเกษตรแก่โรงเรียนที่มีแนวโน้มว่าสามารถนำไปใช้หมุนเวียนได้ต่อเนื่องจริง โดยยังคงเน้นให้เด็ก ชาวบ้าน และครูมีส่วนร่วมในโครงการทุกขั้นตอน

ระหว่างปี พ.ศ.๒๕๓๖-๒๕๔๐ มีการทำงานเชิงลึกที่เป็นงานศึกษารูปแบบการเสริมพลังครอบครัวและชุมชนเพื่อให้มีบทบาทป้องกันและแก้ไขปัญหาเด็ก  ซึ่งครอบคลุมทั้งเรื่องโภชนาการและพัฒนาการของเด็ก  กลุ่มเป้าหมายคือ เด็ก ครอบครัว กลุ่มแม่บ้าน กลุ่มเยาวชน และผู้นำหมู่บ้าน  กิจกรรม ได้แก่ โครงการอาหารเสริมในศูนย์เด็กเล็ก  โครงการอาหารกลางวันในโรงเรียน  อาชีพเสริมสำหรับกลุ่มพ่อบ้าน กลุ่มแม่บ้านและกลุ่มเยาวชน (ตัดเย็บ ทำขนม ทำน้ำปลา ตีเหล็ก ช่างยนต์ พิมพ์ดีด เลี้ยงไก่)  อบรมเรื่องการเลี้ยงดูเด็ก  การดูงานด้านเกษตรกรรม กลุ่มออมทรัพย์และร้านค้า )

ภาวะวิกฤติเศรษฐกิจในปี พ.ศ.๒๕๔๐ ส่งผลกระทบรุนแรงจนเห็นได้ชัดในปี พ.ศ. ๒๕๔๑  เมื่อโครงการแด่น้องฯ ได้พบว่าในพื้นที่โครงการเกษตร มีเด็กวัย ๑-๓ ปี เป็นโรคขาดสารอาหารระดับรุนแรงในเกณฑ์อันตรายและปัญหาทุพโภชนาการของเด็กที่น้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ในอัตราสูง ทำให้โรคขาดสารอาหารกลับมาเป็นปัญหาสำคัญของเด็กวัยก่อนเรียนและวัยเรียนอีกวาระหนึ่ง รวมถึงปัญหาของ เด็กที่ถูกทอดทิ้งเพิ่มมากขึ้น  เพื่อแก้ไขปัญหาซับซ้อนเหล่านี้ โครงการแด่น้องฯ จึงเน้นการทำงานส่งเสริมให้การรวมตัวกันของคนในชุมชนมีความเข้มแข็งขึ้น  มีความรู้ ความเข้าใจ และตระหนักถึงความสำคัญของเด็ก โครงการแด่น้องฯ จัดให้มีโครงการส่งเสริมทางเลือกครอบครัวแรงงานคืนถิ่น ตั้งแต่กลางปี พ.ศ.๒๕๔๐ – กลางปี พ.ศ.๒๕๔๒  โดยสนับสนุนกลุ่มเยาวชน  ทั้งทางด้านงานเกษตรและงานช่าง  แต่ไม่ประสบความสำเร็จ  เพราะมีเยาวชนเข้ามาทำกิจกรรมต่อเนื่องน้อย ส่วนใหญ่พากันอพยพแรงงานไปหมดในช่วงต้นปี พ.ศ.๒๕๔๒  แต่งานรวมกลุ่มชาวบ้านกลับประสบผล เกิดกลุ่มสตรี กลุ่มออมทรัพย์  กลุ่มทอผ้า กลุ่มทำขนม  และกลุ่มเลี้ยงปลา

ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๔๑-๒๕๔๕ โครงการแด่น้องฯ ยังคงให้การสนับสนุนโครงการเกษตรในโรงเรียนในพื้นที่ทุรกันดารภาคเหนือ  ภาคอีสานและภาคกลาง พื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ทางภาคเหนือ  เนื่องจากสำรวจพบข้อมูลปัญหาทุพโภชนาการเด็กจำนวนมากและเป็นพื้นที่ทุรกันดารที่บริการจากภาครัฐเข้าไปไม่ทั่วถึง  นอกจากโครงการเกษตรแล้ว ยังสนับสนุนโครงการอาหารกลางวันสมทบกับงบประมาณที่โรงเรียนได้รับจากภาครัฐ  เพื่อให้เด็กได้รับอาหารกลางวันอย่างพอเพียงครบทุกคน  และคณะครูได้เข้ารับการอบรมดูงานเทคนิคการเกษตรพื้นที่สูง  เพื่อนำไปปรับปรุงงานเกษตรให้มีความหลากหลาย เช่น การปลูกผักสวนครัว  เลี้ยงปลา  ไก่  เป็ดเทศ  และหมู  ปลูกพืชเมืองหนาว และสวนผลไม้

ในปี พ.ศ. ๒๕๔๖-๒๕๔๘ โครงการแด่น้องฯ ให้การสนับสนุนโครงการเกษตรและโครงการอาหารกลางวันในโรงเรียนในภาคเหนือและตะวันออก และใช้โครงการเป็นสื่อกลางในการทำงานร่วมกันของหลาย ๆ ฝ่าย โรงเรียน ผู้นำชุมชน พ่อแม่และผู้ปกครองเด็ก มีการประชุมร่วมกับผู้นำชุมชนและครูเพื่อสะท้อนปัญหาเด็กในชุมชน โครงการฯ ได้พัฒนาโครงการเกษตรให้เป็นโครงการพื้นที่ต้นแบบชุมชนสร้างอาหารแก่เด็กในโรงเรียนและชุมชน ในปี พ.ศ. ๒๕๔๙ สถานการณ์ปัญหาของเด็กกลับรุนแรงยิ่งขึ้น เนื่องด้วยเหตุการณ์ภัยทางธรรมชาติสึนามิและความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทำให้โครงการฯ ต้องติดตามสถานการณ์เด็กในภาวะวิกฤติอย่างใกล้ชิดและให้ความช่วยเหลือเร่งด่วนเฉพาะหน้าแก่เด็กและครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจากทั้ง ๒ เหตุการณ์ เช่น นมผง อาหารเสริม ค่ารักษาพยาบาล ทุนการศึกษา อุปกรณ์การศึกษา เครื่องมือและอุปกรณ์ประกอบอาชีพ ก่อนพัฒนาโครงการเพื่อช่วยเหลือเด็กและครอบครัวที่ได้รับผลกระทบเหล่านี้ต่อไป

งานอนามัยแม่และเด็ก

เพื่อสนับสนุนให้โครงการเกษตร/โครงการอาหารกลางวัน ประสบผลสำเร็จในการแก้ไขปัญหาเด็กขาดสารอาหาร โครงการแด่น้องผู้หิวโหยได้เสริมสร้างความรู้ด้านโภชนาการ อนามัยและการเลี้ยงดูเด็กให้เหมาะสมกับพัฒนาการตามวัยให้แก่กลุ่มพ่อบ้านแม่บ้านในชุมชน  ด้วยการจัดหน่วยเคลื่อนที่ให้ความรู้โภชนศึกษาและสาธิตการทำอาหารเสริมจากวัตถุดิบในชุมชน  โดยร่วมมือกับหน่วยงานด้านสาธารณสุขของท้องถิ่น  และเสริมทักษะการติดตามภาวะโภชนาการของเด็กด้วยการชั่งน้ำหนักวัดส่วนสูง

ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๙ โครงการแด่น้องฯ ได้ปรับกระบวนการทำงาน ทั้งด้านลึกเชิงคุณภาพในเรื่องอนามัยแม่และเด็กในหมู่บ้านเป้าหมาย ด้วยการศึกษาเชิงปฏิบัติการเพื่อหาแนวทางป้องกันปัญหาเด็กขาดสารอาหารตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาและส่งเสริมพัฒนาการเด็กหลังคลอด  ระหว่าง ปี พ.ศ. ๒๕๓๐-๒๕๓๒  ในหมู่บ้านพื้นที่ จ.ศรีสะเกษ ด้วยวิธีการเยี่ยมบ้านเด็ก  ครอบครัวละ ๒-๔ ครั้ง/เดือน  พูดคุยให้ความรู้แก่กลุ่มแม่ในเรื่องการปฏิบัติตนระหว่างตั้งครรภ์  การรับวัคซีน  อาหาร ๕ หมู่ และอาหารเสริมสำหรับเด็กที่หาได้จากแหล่งอาหารในชุมชน  พัฒนาการตามวัยของเด็ก  โรคที่เกิดกับเด็ก ฯลฯ  ควบคู่ไปกับการช่วยเหลือเฉพาะหน้ากรณีเด็กขาดสารอาหารระดับรุนแรงหรือเจ็บป่วย  และสนับสนุนให้กลุ่มแม่บ้านและเยาวชนมาช่วยกันทำนมถั่วเหลืองให้เด็กได้บริโภคทุกวัน เมื่อเสร็จสิ้นการศึกษา ๓ ปี  พบว่าพฤติกรรมของแม่ในการเลี้ยงดูเด็กดีสม่ำเสมอ ช่วยให้เด็กขาดสารอาหารระดับรุนแรงหมดไป  เด็กแรกคลอดทุกรายมีน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ปกติ

โครงการแด่น้องฯ ยังคงให้ความรู้อนามัยแม่และเด็ก และออกตรวจสุขภาพเด็กในพื้นที่ทำงาน เช่น ในจังหวัดศรีสะเกษ บุรีรัมย์ สระแก้ว และปัตตานี

งานทุนการศึกษา

ปี พ.ศ.๒๕๓๕ โครงการแด่น้องฯ เริ่มโครงการทุนการศึกษาแก่เด็กที่มีความประพฤติดี ฐานะยากจนช่วยเหลืองานของครอบครัวและโรงเรียน  และมีผลการเรียนระดับพอใช้  โดยโครงการแด่น้องฯ ร่วมมือกับครูคัดเลือกเด็กจากโรงเรียนในโครงการอาหารกลางวันและการเกษตร  ในปี พ.ศ.๒๕๔๐  นักเรียนทุนเหล่านี้อยู่ใน จ.ศรีสะเกษ บุรีรัมย์  อำนาจเจริญ  สุรินทร์ ชัยภูมิ มุกดาหาร  สกลนคร และแม่ฮ่องสอน  งานทุนการศึกษานี้เองทำให้โครงการแด่น้องฯ  มีโอกาสทำงานร่วมกับเครือข่ายครู ๒ จังหวัดในปี พ.ศ.๒๕๓๙ คือ กลุ่มครูกัลยาณมิตร  จ.บุรีรัมย์  และกลุ่มครูพัฒนาบ้านเฮา  จ.อำนาจเจริญ  รวม ๕๔ คน  โดยโครงการแด่น้องฯ สนับสนุนการจัดอบรมเสริมทักษะความรู้และการแลกเปลี่ยนประสบการณ์  เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งในการมีส่วนร่วมแก้ไขปัญหาเด็กในความดูแลของครู  โดยกลุ่มครูเป็นผู้ทำงานช่วยเหลือดูแลเด็กและครอบครัวที่ประสบปัญหา  ด้วยการเยี่ยมบ้านแลกเปลี่ยนให้กำลังใจ หาทางช่วยเหลือทั้งเฉพาะหน้าและระยะยาว  มีการจัดเก็บข้อมูลเด็กและประสานงานกับหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องให้เข้ามาช่วยเหลือด้วย  ทำให้กลุ่มครูมีประสบการณ์และสามารถขอการสนับสนุนจากแหล่งทุนต่าง ๆ

ในปี พ.ศ.๒๕๔๕-๒๕๕๔  เนื่องจากเด็กส่วนใหญ่จบการศึกษา และบางส่วนสามารถขอรับทุนการศึกษาในพื้นที่  โครงการแด่น้องฯ มีแนวทางการส่งเสริมและพัฒนากลุ่มเด็กใน จ.บุรีรัมย์ สระแก้วและศรีสะเกษ ในเชิงคุณภาพมากขึ้น  จึงได้จัดกลุ่มพูดคุยกับเด็กเกี่ยวกับการวางแผนชีวิต  การช่วยเหลืองานส่วนรวมและครอบครัว  และทำงานหารายได้ในช่วงวันหยุดและปิดเทอม  พร้อมกับให้เด็กเข้าร่วมงานค่ายและการอบรมเสริมทักษะความรู้ต่าง ๆ ทำให้เด็กรวมกลุ่มกันเพาะเห็ดขายในชุมชน โดยได้รับการสนับสนุนจากคนในครอบครัวและผู้นำชุมชน และต่อมาได้พัฒนาเป็นโครงการพัฒนาทักษะด้านอาชีพเพื่อการพึ่งพาตนเอง ส่งเสริมให้เด็กมีความรู้และทางเลือกด้านอาชีพในท้องถิ่น ทำกิจกรรมที่เหมาะสม มีรายได้เสริมในระหว่างเรียน

งานพัฒนาศูนย์เด็กเล็ก

ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๓๗-๒๕๓๙  โครงการแด่น้องฯ ได้จัดทำโครงการอบรมศูนย์พัฒนาเด็กก่อนเกณฑ์ภายในวัด จัดอบรมเชิงปฏิบัติการในเรื่องการส่งเสริมพัฒนาการเด็กก่อนวัยเรียนในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กให้แก่ครูพี่เลี้ยง จำนวน ๑๐ ศูนย์ ซึ่งมีเด็กในความดูแล จำนวน ๓๗๒ คน ช่วงอายุ ๓-๔  ปีในอำเภอขุนหาญ ไพรบึง และขุขันธ์ จ.ศรีสะเกษ สืบเนื่องมาจากพบว่าเด็กภายในศูนย์มีพัฒนาการที่ต่ำกว่าเกณฑ์โดยเฉพาะสติปัญญา กล้ามเนื้อเล็ก อารมณ์ และสังคม การทำงานของแด่น้องฯ เพื่อแก้ไขปัญหาของเด็กภายในศูนย์ โดยประสานงานกับหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมการศาสนา และสำนักงานศึกษาธิการจังหวัด รวมทั้งกำหนดการพัฒนาและส่งเสริมความรู้แก่บุคลากรและผู้ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเด็ก คือ เจ้าอาวาสในฐานะผู้บริหารศูนย์ พี่เลี้ยงเด็กภายในศูนย์ ผู้ปกครองและผู้นำชุมชน โดยมีการให้ความรู้แก่เจ้าอาวาสและพระสงฆ์ การอบรมครูพี่เลี้ยง  กิจกรรมดังกล่าวส่งผลให้เจ้าอาวาสมีความสนใจพัฒนาศูนย์ มีการพัฒนาการบริหารศูนย์และสามารถให้คำแนะนำแก่ครูพี่เลี้ยงเด็กในการจัดการบริหารศูนย์ได้ดีขึ้น ครูพี่เลี้ยงมีการพัฒนาในการจัดกิจกรรมสำหรับเด็ก จัดสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการพัฒนาเด็ก ดัดแปลงอุปกรณ์วัสดุเพื่อทำสื่อการเรียนการสอน และสามารถดึงชุมชนและผู้ปกครองของเด็กให้มีส่วนร่วมในการพัฒนาศูนย์

งานพลังเด็ก เยาวชนและครอบครัว

กลุ่มพลังเด็ก เยาวชน และครอบครัว ที่เป็นอาสาสมัคร ถือเป็นกลไกหนึ่งในชุมชนที่ทำงานช่วยเหลือเด็กระดับโรงเรียนและชุมชน ให้มีกิจกรรมเพื่อพัฒนาศักยภาพของกลุ่มพลังเด็ก เยาวชนและครอบครัวให้เกิดการช่วยเหลือสังคม ผู้ด้อยโอกาส กลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน กลุ่มพ่อแม่ผู้ปกครองดูแลเด็ก กลุ่มผู้สูงอายุกับการพัฒนาเด็ก นำไปสู่การแสวงหาเครือข่ายในการให้ความช่วยเหลือกัน โดยทำงานกับกลุ่มเด็กในระบบโรงเรียนและนอกระบบโรงเรียน กลุ่มผู้ปกครองและผู้สูงอายุที่ต้องดูแลเด็กในครอบครัวและชุมชน ได้แก่ กิจกรรมเพื่อนช่วยเพื่อนในโรงเรียน กิจกรรมเสียงตามสายในชุมชน  กิจกรรมปลูกผักปลอดสารพิษ กลุ่มทำขนมพื้นบ้านและกลุ่มเด็กเท่าทันสื่อ เป็นต้น

โครงการแด่น้องฯ ได้สนับสนุนการสร้างเสริมพลังให้เป็น “กลุ่มพลังเด็ก” ที่เข้มแข็ง โดยจัดอบรมเสริมทักษะให้เด็กได้เรียนรู้ถึงปัญหาของเด็กในชุมชนของตน การจัดรายการวิทยุเพื่อใช้เป็นช่องทางสื่อสารปัญหาของเด็กผ่านเสียงตามสายในโรงเรียน และหอกระจายข่าวในหมู่บ้าน และเป็นตัวแทนเด็กเข้าไปนำเสนอปัญหาของเด็กในเวทีระดับจังหวัดและระดับชาติ

งานกลไกชุมชนปกป้องเด็ก

การทำงานในพื้นที่ชุมชนต่างๆ ของ มพด. ไม่ว่าจะเป็นชนบทหรือในเมือง  แนวทางสำคัญที่ ส่งเสริมให้เกิดคือ “กลไกชุมชนปกป้องเด็ก” โดยการสร้างการมีส่วนร่วมจากชุมชน ในการดูแลช่วยเหลือพัฒนาเด็ก ผ่านกระบวนการสร้างอาสาสมัครเด็กและอาสาสมัครชาวชุมชน และการทำงานร่วมกับเครือข่ายด้านเด็กในพื้นที่   จัดกิจกรรมพัฒนาศักยภาพอาสาสมัครด้วยการอบรม จัดค่าย ศึกษาดูงานและเข้าร่วมเวทีด้านเด็ก  เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจ สถานการณ์ปัญหาเด็ก วิธีการช่วยเหลือเด็กให้เข้าถึงบริการของรัฐ ตลอดจนแนวทางการพัฒนาเด็กรอบด้าน“อาสาสมัครคุ้มครองสิทธิเด็ก”  ในปี พ.ศ.๒๕๔๔-๒๕๔๕  โครงการแด่น้องฯ ได้ยกระดับการทำงานชุมชนปกป้องเด็กให้เข้มแข็งขึ้น  โดยร่วมกับองค์การยูนิเซฟ  อบรมอาสาสมัครเพื่อทำหน้าที่ดูแลแก้ไขปัญหาของเด็กในเบื้องต้น มีบทบาทสำรวจข้อมูลสภาพปัญหาเด็กในชุมชน  ประชุมหาแนวทางการแก้ไขเยี่ยมบ้าน ประสานความร่วมมือกับหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องในระดับตำบลและอำเภอ  เพื่อให้เข้ามาช่วยเหลือและสนับสนุนในระยะยาว ความเข้มแข็งที่ยกระดับขึ้นนี้  โครงการแด่น้องฯ เชื่อว่า  จะสามารถพัฒนาไปสู่การเป็น “วิถีของชุมชน”  ที่จะปกป้องดูแลเด็ก ๆ ในชุมชนของตนเองได้อย่างต่อเนื่องต่อไป

 งานสร้างความเข้มแข็งและครอบครัวในภาวะวิกฤต  3 จังหวัดชายแดนใต้

                โครงการกำปงซือแน (หมู่บ้านสันติสุข) เป็นโครงการที่นำบทเรียนการทำงานของโครงการแด่น้องผู้หิวโหย ขยายผลไปสู่ ๓ จังหวัดชายแดนใต้ (ยะลา ปัตตานี นราธิวาส) เพื่อส่งเสริมศักยภาพเด็กและครอบครัวในภาวะวิกฤติ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้ความช่วยเหลือแก่เด็กและครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบ ตลอดจนเด็กกำพร้าและเด็กที่อยู่ในสภาวะยากลำบาก ประสบปัญหาขาดสารอาหาร เจ็บป่วยเรื้อรัง พิการ และอยู่ในสภาวะที่มีความเสี่ยงสูง เรามีเป้าหมายเพื่อสร้างความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นแก่เด็กและช่วยให้ครอบครัวของเขาสามารถพัฒนาศักยภาพ ทักษะอาชีพสร้างรายได้ และพึ่งพาตนเองได้ในระยะยาว เพื่อสร้างความมั่นคงในการดำเนินชีวิต และดูแลลูกหลานของตนเองได้ต่อไปโดยยึดถือปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน นอกจากนี้ ยังพัฒนากลไกชุมชนให้มีส่วนร่วมการดูแลและคุ้มครองเด็กมิให้ถูกละเมิดสิทธิ สามารถมีชีวิตที่ปลอดภัย และมั่นคง โดยใช้แนวทางการสร้างเสริม การมีส่วนร่วม และการดำเนินงานเพื่อให้เกิดความยั่งยืนในชุมชน จากเด็ก เยาวชน ผู้ปกครอง ผู้นำชุมชน ผู้นำศาสนา  องค์กรชุมชน หน่วยงานราชการส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่น เช่น  ศูนย์เด็กเล็ก โรงเรียน สถานีอนามัย องค์การบริหารส่วนตำบล พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด ศูนย์พัฒนาสังคม บ้านพักเด็กและครอบครัว เป็นต้น